| วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11489 มติชนรายวัน
"ไอที" เพื่อคนพิการ สานฝันสร้าง "สังคมเท่าเทียม" วันที่ 25-27 สิงหาคม 2552 ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช
สังคมไทยระยะหลังเอ่ยอ้างถึงเรื่องของ "สิทธิ" อยู่บ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นสิทธิสตรีที่จะต้องได้รับเท่าเทียมกับบุรุษ สิทธิของเพศที่ 3 เพศที่ 4 สิทธิประชาชนที่จะสามารถชุมนุมเรียกร้องเพื่อบางสิ่งบางอย่าง และสิทธิของอะไรต่อมิอะไร อีกมากมาย
แต่กลับละเลย ตกหล่นสิทธิของผู้พิการ ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้เป็นมนุษย์เหมือนกัน พึงจะได้รับสิทธิเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ครบสามสิบสอง
ในความเป็นจริงประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อ "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ" (Convention on the Rights of Persons with Disabilities,CRPD) ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2551 แล้ว ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นมา
สาระสำคัญของอนุสัญญาฉบับนี้กล่าวถึงภาคีสมาชิกว่า จะต้องขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการในทุกรูปแบบ ทั้งในด้านกฎหมาย การปกครอง และการปฏิบัติต่างๆ
รวมถึงการกำหนด มาตรการที่เหมาะสมเพื่อประกันการเข้าถึงและใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันของคนพิการ ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การขนส่ง ข้อมูลข่าวสารและบริการสาธารณะ
ยอมรับความเท่าเทียมกันของคนพิการ ในทางกฎหมายสำหรับโอกาสในการรับการศึกษา การเข้าทำงาน การรักษาพยาบาล การประกันสิทธิและโอกาสที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกันกับ บุคคลทั่วไป
แต่ระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย อธิบายว่า สังคมไทยเป็นสังคม "เวทนานิยม" คือคนพิการเป็นผู้รับการสงเคราะห์ ผู้รับการดูแล เพราะฉะนั้นอย่าคิดแม้กระทั่งจะใช้เทคโนโลยีเลย แค่จะไปไหนมาไหน จะบริโภคอะไรสักอย่าง ก็เป็นผู้บริโภคระดับ 2 ต้องมีคนอื่นสังเคราะห์ จัดการเตรียมการไว้ให้หมด
วิธีคิดที่จะทำให้คนพิการสามารถพึ่งตนเองได้และสามารถเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วยนั้นต้องไม่อยู่ในระบบคิดแบบเวทนานิยม
"ตั้งแต่ พ.ศ.2550 เป็นต้นมา เรามีพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เรามีรัฐธรรมนูญใน หมวด "สิทธิ" และ เราก็ให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าในเรื่องของข้อกฎหมาย คนพิการเรากำลังก้าวไปอยู่สู่ "สังคมฐานสิทธิ"
นั่นคือ การที่ทุกคนสามารถเข้าถึงทุกอย่างได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
นายก สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย บอกว่า "เราต่อสู้จนปัจจุบันเรากำลังจะก้าวไปอยู่ใน "สังคมฐานสิทธิ" จากเดิมทีเราเป็นสังคมแบบ "เวทนานิยม" จึงมีความรู้สึกว่า เราก็ควรจะเป็นผู้บริโภคด้วยตนเอง ควรจะเข้าถึงความรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ระดับทุติยภูมิ
เราควรจะมีส่วนในการคิด การสะท้อนปัญหาของเราเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นนำสารของเราไปถ่ายทอดแทนเรา แล้วสังคมปัจจุบันซึ่งเป็นสังคมข่าวสาร เป็นสังคมฐานความรู้ เราก็น่าจะได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารความรู้เหล่านั้นได้ด้วยตนเอง"
การ ที่สังคมจะปรับเปลี่ยนจาก "เวทนานิยม" เป็น "สังคมฐานสิทธิ" ได้นั้น มณเฑียรบอกว่า จะต้องเรียกร้องให้มีการจัดสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะทางสถาปัตยกรรมก็ดี อาคารสถานที่ ยานพาหนะ ขนส่งก็ดี หรือทางระบบข้อมูลข่าวสารก็ดี ที่เปิดกว้างให้ คนพิการเข้าไปใช้ร่วมกับคนทั่วไปได้
สังคมจะเอื้อต่อคนพิการให้เข้าถึงได้ตามหลักสากลมีหลักการใหญ่ด้วยกัน 3 แนวคิด (บน) มณเฑียร บุญตัน |
แนว คิดที่ 1 คือ "ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์" คือหลักการออกแบบที่เป็นสากล ถือเป็นระดับอุดมคติ เทียบได้ "ยูโทเปีย" หรือยุคพระศรีอาริย์ นั่นคือ ทุกคนเข้าถึงทุกอย่างได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม "ในทุกเรื่อง"
คือการออกแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีอุปสรรคเลย ไม่ว่าจะเป็น อาคารสถานที่ การขนส่ง ระบบไอซีที
แต่ เมื่อ "ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์" ไม่สามารถจะเกิดในทุกที่ทุกหนทุกแห่งทุกเวลาได้ ก็จำเป็นต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคลเข้ามารองรับ นั่นคือ แนวคิดที่ 2 คือ "เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก"
มณเฑียร อธิบายเพิ่มเติมว่า ตราบใดที่ "ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์" ยังไม่เกิดขึ้นเต็มสเกล หรือแม้จะเกิดขึ้นเต็มสเกล มันก็ไม่ตอบโจทย์ทุกคนเสมอไป เช่น เราบอกว่า ทางลาดเป็น "ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์" แต่คนที่เป็นอัมพาตจะขึ้นตึกด้วยทางลาดได้อย่างไร ถ้าเขาไม่มีวีลแชร์ ซึ่งเป็น "เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก"
เช่น เดียวกับการสร้างเว็บไซต์ที่มีคำอธิบายภาพที่เป็นตัวอักษรหมดเลย ลิงก์ทุกลิงก์จะต้องมีคำอธิบายหมด แต่ถามว่า คนตาบอดจะเข้าถึงเว็บไซต์นั้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมอ่านจอภาพ ตรงนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น "เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก"
ฉะนั้น การออกแบบที่เป็นสากลเป็นสิ่งที่เราต้องไปให้ถึง แต่ขณะเดียวกันความเป็นเฉพาะก็ต้องเข้ามาเสริม
ส่วน แนวคิดที่ 3 คือ "การช่วยเหลือแบบสมเหตุสมผล" ยกตัวอย่าง ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ไม่มีอักษรเบรล เว็บไซต์ที่จะให้ข้อมูลก็ไม่มี แต่ภายในงานมี อาสาสมัครสำหรับช่วยอ่านเอกสารประกอบการสัมมนาให้ ถือเป็นการช่วยเหลือแบบสมเหตุสมผล คือเป็นที่ตกลงกันแล้วว่า ผู้ให้ก็ให้ได้แค่นี้ ผู้รับก็พอรับได้
"ถ้าเราจะก้าวไปสู่สังคม ประชาธิปไตย เป็นสังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน ทั้งสามอย่างนี้ต้องเป็น "MUST" นี่คือสังคมฐานสิทธิที่มองที่สิทธิ ของมนุษย์เป็นหลัก
ถามว่า เมืองไทยมีให้เต็มที่หรือยัง...ยัง แม้ในทางกฎหมายจะมีแล้ว แต่กฎหมายยังไม่ผันตัวไปเป็นนโยบายของรัฐที่ใช้ได้จริง" มณเฑียรให้ทรรศนะ
วันอังคารที่ 25 สิงหาคมนี้ กำลังจะมีการประชุมครั้งสำคัญในระดับภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก โดย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) และคณะกรรมาธิการทางเศรษฐกิจและสังคมเอเชียแปซิฟิก สหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสแคป) ร่วมกันจัดการประชุม เรื่อง "การบูรณาการความสามารถในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารสำหรับคนพิการในกระแสหลัก" ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ มีร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานในพิธีเปิด
ทั้งนี้ การประชุมจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม 2552 โดยเป็นการประชุมร่วมกันของผู้กำหนดนโยบาย ผู้กำหนดระเบียบข้อบังคับ ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง หน่วยงาน NGO และองค์กรนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญ ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและ การสื่อสาร คนพิการจากทั่วทั้งภูมิภาค กว่า 20 ประเทศ จะมาร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และกรณีศึกษา รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับ นวัตกรรมช่วยเสริมศักยภาพด้านการเข้าถึงและใช้ ประโยชน์ เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และการประยุกต์ใช้งาน ดร.อูน-จู คิม |
ที่ สำคัญคือ เป็นการแนะนำคู่มือช่วยกำหนดนโยบายด้านความสามารถในการเข้าถึงและใช้ ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการ
มณเฑียร ซึ่งทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในการยกร่างอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการเมื่อ ปีที่แล้ว เล่าว่า การประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ประเทศไทยในวันอังคารที่ 25 กรกฎาคมนี้ เป็นการประชุมเพื่อจะเอาผล ของการทำงานระดับโลก มาหารือกันในระดับเอเชียแปซิฟิก เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ ทำอย่างไรให้คนพิการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้อย่างเท่าเทียมทั่วถึงและเป็นธรรม ให้ได้
"ตอนนี้เรามีผลของการทำงานระดับโลกอยู่ 2 ส่วน คือ งานที่เป็นเรื่องไอซีทีโดยตรง คือ การประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on Information Society) แม้จะไม่ใช่เรื่องของคนพิการ แต่เผอิญผู้นำคนพิการ ซึ่งมีผมเองอยู่ในนั้นด้วย ช่วยกันผลักดันจนกระทั่งคอนเซ็ปท์ของทั้งสามหลักการ ถูกบรรจุอยู่ในเอกสารหนังสือสัญญาฉบับนี้ด้วย ตั้งแต่การประชุมเมื่อปี 2546 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ มีการนำเอกสารกระแสหลักผนวกรวมกับเรื่องคนพิการไว้ในนั้นด้วย แม้จะไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นคำประกาศร่วมกัน
ส่วน เอกสารฉบับที่ 2 คือ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ที่ประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตีประเทศหนึ่งในการยกร่าง และก็คลอดในกรุงเทพฯด้วย ถือเป็น "อนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนด้านคนพิการฉบับแรกของโลก และถือเป็นอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนฉบับแรกของศตวรรษที่ 21"
อนุสัญญา นี้ก็เอาสาระของคำในเรื่องของการเข้าถึงเรื่องไอซีทีในเรื่องของ "ยูนิเวอร์แซล ดีไซน์" ไปจากอนุสัญญาฉบับแรกด้วย แต่มีน้ำหนักตรงที่มันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่ได้เป็นกฎหมายเฉพาะแค่ด้านไอซีที แต่เป็นการประมวลเอาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ คนพิการมาไว้ตรงนั้น ประเทศไทยร่วมร่าง ลงนาม และให้สัตยาบันไปเมื่อปีที่แล้ว
ฉะนั้น เนื่องจากว่าเรื่องการเข้าถึงไอซีที มีอยู่ทั้งในเอกสารสำคัญทั้งสองฉบับนี้ สหภาพโทรคมนาคมสากล จึงร่วมกับ กทช.ของไทย จัดให้มีการประชุมครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่คู่มือที่จะนำเอาหลักการ ข้อกำหนดจากเอกสารทั้งสองฉบับนี้มาเขียนเป็นคู่มือลักษณะการขยายผลที่เป็น รูปธรรม ซึ่งจะเป็นเหมือนคัมภีร์ให้ชาวบ้านเข้าใจได้ และคนพิการก็สามารถเข้าถึงได้
หลังจากนี้เราจะเห็นว่าพวกบริษัทที่ จะผลิตคอมฯ รถเมล์ รถไฟฟ้า ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ฟุตปาธ โทรศัพม์มือถือ เว็บไซต์ก็จะต้องคำนึงถึง ทั้งสามอย่างที่ว่ามา ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายทั้งไทยและเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเราก็ให้สัตยาบันไปแล้ว กฎหมายในประเทศมีทั้ง รัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มี พ.ร.บ.การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ มาตรการขจัดการเลือกปฏิบัติ
"เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีคนไปฟ้องเท่านั้นเอง ช่วงปีสองปีนี้จึงเป็นการให้เวลากับทุกภาคส่วนได้เตรียมพร้อมกัน"
ดร.อูน-จู คิม
หัวหน้าสำนักงาน ไอทียู
ที่ ประชุมเต็มคณะของสมัชชาสหประชาชาติ ได้อนุมัติรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักไมล์ ความสำเร็จ สำหรับบุคคลที่มีความพิการกว่า 650 ล้านคนทั่วโลก โดยเป็นอนุสัญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนฉบับที่ 8 และ เป็นครั้งแรกในรอบ 1,000 ปี
อนุสัญญาฉบับนี้ ถือว่ามีเนื้อหาใจความที่ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของคนพิการมากที่สุด
ปัจจุบัน มี 142 ประเทศที่ลงนามเข้าร่วม และมีอีก 64 ประเทศได้ให้สัตยาบัน อนุสัญญาฉบับนี้ จึงกลายเป็นเครื่องมือบังคับใช้ตามกฎหมายเรื่อยมา ทั้งนี้บรรดา 64 ประเทศที่ได้ให้สัตยาบันดังกล่าว คิดเป็นตัวแทนสองในสามของประชากรและคาดว่าจะสามารถครอบคลุมกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลกทั้งหมดภายในสิ้นปี 2552
การประชุมครั้งนี้ นับเป็นปีแรกที่มีการจัดประชุมในระดับภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แนะนำคู่มือการเข้าถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้มีความพิการ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์เพื่อ ตอบโจทย์เรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงบริการที่จำเป็นสำหรับผู้มีความพิการเพื่อให้สอดคล้องตามความประสงค์ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ
โดยคู่มือดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จ สมบูรณ์ในราวเดือนตุลาคมปีนี้ นอกจากนี้ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และทางกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ยังมีแผนที่จะจัดการประชุมในลักษณะเดียวกันนี้ในภูมิภาคอื่นๆ นับแต่ปีนี้เป็นต้นไป
การประชุมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เรื่อง "การบูรณาการความสามารถในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับคนพิการ ในกระแสหลัก" ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม 2552
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2552
เวลา 10.00-11.30 น. การอภิปรายเรื่อง ความสามารถในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการ
เวลา 11.30-12.30 น. การอภิปรายเรื่อง บทบาทของไอซีทีสำหรับคนพิการ
เวลา 13.30-15.00 น. การอภิปรายเรื่อง ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมและนโยบาย ของความสามารถในการเข้าถึงและ ใช้ประโยชน์ไอซีทีสำหรับคนพิการ
เวลา 15.30-17.00 น. การอภิปรายเรื่อง การส่งเสริมระบบโทรคมนาคมเพื่อรองรับคนพิการ
วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2552
เวลา 09.00-10.30 น. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในแต่ละประเทศ เกี่ยวกับการส่งเสริมระบบโทรคมนาคมเพื่อรองรับคนพิการ
เวลา 11.00-12.30 น. การอภิปรายเรื่อง การส่งเสริมการเข้าถึงเว็บไซต์และอินเตอร์เน็ตสำหรับคนพิการ
เวลา 13.30-15.00 น. การอภิปรายเรื่อง การส่งเสริมโซลูชันความช่วยเหลือเพื่อคนพิการ
เวลา 15.30-17.00 น. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในแต่ละประเทศ เกี่ยวกับการส่งเสริมโซลูชันความช่วยเหลือเพื่อคนพิการ
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2552
เวลา 09.00-10.30 น. กลไกในการขับเคลื่อนในระดับภูมิภาค ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการดำเนินการหลังจากนี้
เวลา 11.00-12.30 น. สัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่องเครื่องมือช่วยเหลือในการประเมินตน
เวลา 13.30-15.00 น. สัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่องการจัดหาจัดซื้อขององค์กร
เวลา 15.30-17.00 น. สัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่องความสามารถในการเข้าถึงเว็บ
เวลา 17.00-17.15 น. ปิดการประชุม
หน้า 20 |
|
| |
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01240852§ionid=0131&day=2009-08-24
ขอ
เชิญอ่าน blog.Thank you so much.http://twitter.com/care2causeshttp://twitter.com/actionalerts
http://tham-manamai.blogspot.comhttp://thammanamai.blogspot.comhttp://sunsangfun.blogspot.comhttp://dbd-52hi5com.blogspot.comhttp://sundara21.blogspot.comhttp://newsnet1951.blogspot.comhttp://same111.blogspot.comhttp://sea-canoe.blogspot.comhttp://seminarsweet.blogspot.comhttp://sunsweet09.blogspot.comhttp://dbd652.blogspot.comhttp://net209.blogspot.comhttp://parent-youth.blogspot.comhttp://netnine.blogspot.comhttp://parent-net.blogspot.comhttp://weblogcamp2009.blogspot.com http://www.educationatclick.com/th
ถูกพบอยู่กับ Buddy! แท็กรูปของคุณแล้วลุ้นคว้ารางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจ
คลิกที่นี่เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น