I can’t do everything for everybody, but I can do something for somebody. And what I can do, I must do. Dr.Bob Pierce, World Vision Name: Greenpeace SEAsia Thailand City: Bangkok Hometown: Bangkok, Thailand Country: Thailand Companies: Greenpeace Southeast Asia (THAIL... Interests and Hobbies: Saving the environment for all lives on earth. Website: http://www.greenpeace.or.th

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

http://farm-machinery.agr.ku.ac.th/วันที่ 4 – 6 กันยายน 2552 คณะเกษตร ภาควิชาเกษตรกลวิธาน การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรพืช

 

ฝึกอบรม จัดโดยคณะเกษตร ภาควิชาเกษตรกลวิธาน
มี 3 โครงการ ไม่เสียค่าใช้จ่าย รายละเอียดดังนี้

1. การฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบการให้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตสำหรับพืชเศรษฐกิจ
เปิดรับสมัครจำนวน 40 คน
•        ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5 – 7 มิถุนายน 2552
2. การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเครื่องยนต์การเกษตร เปิดรับสมัครรวม 2 รุ่น ๆ ละ 15 คน
•        รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 22 – 25 มิถุนายน 2552
•        รุ่นที่ 2 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 13 – 16 กรกฎาคม 2552

3.การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรพืช
เปิดรับสมัครรวม 2 รุ่น ๆ ละ 30 คน
•        รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 7 – 9 สิงหาคม 2552
•        รุ่นที่ 2 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 4 – 6 กันยายน 2552

รับสมัครผ่าน เวปไซด์ http://farm-machinery.agr.ku.ac.th


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

มณเฑียร บุญตัน ผู้ไม่ยอมแพ้โชคชะตา


 วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11495 มติชนรายวัน


มณเฑียร บุญตัน ผู้ไม่ยอมแพ้โชคชะตา


พนิดา สงวนเสรีวานิช เรื่อง วรพงษ์ เจริญผล ภาพ




มองจากภายนอกเผินๆ อาจจะไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นผู้พิการทางสายตา

ยิ่ง ได้ฟังเรื่องราวการใช้ชีวิต การสู้ชีวิตของเขายิ่งทึ่ง...ทึ่งในความไม่ยอมจำนนต่อสภาพร่างกายที่มีข้อ จำกัด*"มณเฑียร บุญตัน"* คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา ปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

มณเฑียร เป็นลูกชาวนาที่มีความรู้เพียงแค่ ป.4 เป็นคนบ้านน้ำชำ อ.สูงเม่น จ.แพร่ แม้ว่า พ่อ-นายล่ำ และแม่-นางลำใย มีที่นาเพียง 2-3 ไร่ พอแค่ปลูกข้าวกิน แต่ทั้งสองให้ความสำคัญกับเรื่องของการศึกษายิ่งนัก

อายุได้เพียง 7 ขวบ ด.ช.มณเฑียรถูกส่งไปเข้าโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ที่ จ.เชียงใหม่ แรกๆ เขาร้องไห้คิดถึงบ้านทุกวัน แต่เมื่อปรับตัวเข้ากับโรงเรียนและเพื่อนๆ ได้แล้ว การกลับบ้านช่วงปิดเทอมกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อ...

"เพราะเด็กที่เคยเล่นกับเรามา ไปมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปแล้ว"

พอ ขึ้นมัธยมต้นมณเฑียรก็หาข้ออ้างไม่กลับบ้านด้วยการตั้งวงซ้อมดนตรีกับ เพื่อนๆ เริ่มจากแกะเพลงลูกทุ่งยุคสายัณห์ สัญญา กำลังดัง แล้วมาเล่นเพลงป๊อป ดิสโก้ ร็อค แจ๊ซ ฟิวชั่นแจ๊ซ จนมาอะเร้นจ์เพลงเอง

กระทั่ง ก้าวขึ้นถึงเวทีประกวด "โค้ก มิวสิค อวอร์ด" ด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่า รอบตัดสินตรงกับวันสอบเอ็นทรานซ์พอดี เส้นทางนักดนตรีจึงจบลง มณเฑียร เรียนอยู่โรงเรียนสอนคนตาบอด 6-7 ปี ก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมงฟอร์ต เรียนร่วมกับเด็กนักเรียนตาดี ในยุคที่หนังสืออักษรเบรลล์นั้นมีนับเล่มได้

"ชีวิตไม่ถึงกับยากลำบาก แต่มันท้าทาย" มณเฑียรบอก

จบ จากมัธยมปลายเขาได้เป็นนักศึกษาศิลปศาสตร์ เป็นศิลปศาสตรบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี 2531 ได้ทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยเซนต์ โอลาฟ สหรัฐอเมริกา และที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า สหรัฐอเมริกาในปี 2533 และ 2536 ตามลำดับ

มี พี่สาว 1 คนอายุห่างกัน 4 ปี ชื่อ "ศรีเวียง ชุ่มปัน" มณเฑียรสมรสกับ "นางยูมิ ชิราอิชิ" เจ้าหน้าที่ประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย มีบุตรสาว 1 คน ชื่อ ด.ญ.ยุคลธร บุญตัน

ปัจจุบันด้วย วัย 44 ปี เป็น ส.ว.ผู้พิการทางสายตาที่ได้รับการยกย่องเป็น "คนดีศรีสภา" เป็นนายกสมาคมตาบอดแห่งประเทศไทย เป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อให้ผู้พิการได้มีสิทธิเท่าเทียมกับคนตาดี

จน ถึงวันนี้ประเทศไทยไม่เพียงได้ให้สัตยาบัน แต่ยังเป็นประเทศตัวตั้งตัวตีในการยกร่าง "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ" จนลุล่วง ถือเป็นอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนด้านคนพิการฉบับแรกของโลก และเป็นอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนฉบับแรกของศตวรรษที่ 21

นอกจากการเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากในสมองของชายคนนี้

ตั้งแต่เล็กก็มีชีวิตหัวหกก้นขวิด?

ลูก ชาวบ้านไม่ได้เลี้ยงแบบไข่ในหิน แล้วชนบทเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ไม่มีมอเตอร์ไซค์เต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนสมัยนี้ ฉะนั้นเราก็วิ่งเล่นเหมือนกับเด็กทั่วไป แล้วจริงๆ ผมก็พอเห็นแสงบ้าง การที่เราได้วิ่งเล่นเข่าแตกเย็บบ้าง ทำให้เราเป็นคนคล่อง เพราะเราได้อาศัยกระบวนการธรรมชาติกระตุ้นให้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อของเรา เอง


เห็นว่าเป็นหัวหน้าแก๊งเด็ก?

ก็ เป็นธรรมดา ชนบทก็มีคนที่มีลักษณะเป็นลูกพี่ในแก๊งได้ ซึ่งผมมีลักษณะอย่างนั้น เนื่องจากเราอยู่ในสังคมที่ผมเรียกว่า "เวทนานิยม" เวลาเห็นคนตาบอดก็จะชอบล้อเลียน ซึ่งสมัยนั้นเรายังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจว่าอันไหนควรไม่ควร เราก็ตอบโต้ พอตอบโต้มันก็ต้องมีสมัครพรรคพวกช่วย เช่น ถ้าเด็กคนอื่นมาล้อเลียนเรา ก็จะให้เพื่อนช่วยจับ แล้วเราเป็นคนสำเร็จโทษเอง ถ้าผู้ใหญ่มาล้อเลียน เราก็บอกว่า เฮ้ย เอาหนังสติ๊กระดมยิงกระจกบ้านให้หน่อย อย่างนี้เรียกว่าแก๊งหรือเปล่า (หัวเราะ)

รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น?

ไม่ครับ ถ้าผมรู้สึกว่าด้อยกว่าคนอื่น ผมจะเอาน้ำยาอะไรไปสำเร็จโทษเขาได้ เพราะผมไม่รู้สึกว่าด้อยกว่าเขาน่ะสิ

ทำยังไงถึงมีลูกน้องเยอะแยะ?

เรา ไปไหนไปกัน มีอะไรก็แบ่งกัน ก็เลยทำให้มีคนติดตาม และผมก็ชอบชวนเขาทำนั่นทำนี่ ยังจำได้เลย ผมชอบชวนเพื่อนออกไปขโมยอ้อย คือเราเป็นคนชี้ชวน เป็นคนชี้นำ อย่างมากก็ 3-4 คน

ชาวบ้านมองว่าเป็นเด็กเกเร?

ไม่ ครับ เขาก็เห็นว่าประสาเด็ก แต่ก็คงรู้สึกว่าเขาแกล้งเราไม่ได้ อย่างผู้ใหญ่แกล้ง เด็กมักจะกลัว แต่ผมจะสร้างนิสัยให้ตัวเองว่าไม่กลัวผู้ใหญ่ ถึงสู้ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีลอบกัดเอา คือเราจะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ผู้ใหญ่

อยู่โรงเรียนสอนคนตาบอดมีแก๊งด้วย?

มี บ้างครับ แต่แก๊งในโรงเรียนสอนคนตาบอด กับแก๊งเด็กชาวบ้านมันต่างกัน สมัยเด็กนั่นเป็นการหยอกล้อกัน แต่นี่เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจในโรงเรียนประจำ ถูกระเบียบถูกกฎเกณฑ์ของโรงเรียนควบคุม ฉะนั้นพฤติกรรมการขบถของเด็กก็เป็นธรรมดา เช่น ผู้ใหญ่บอกไม่ให้เอาอะไรมากินในหอนอน เราก็เอามากิน ผู้ใหญ่บอกไม่ให้ซื้อของข้างนอก เราบอกของในโรงเรียนไม่อร่อย ก็กระโดดรั้วโรงเรียนไปซื้อข้างนอกมากิน แต่ภายใต้กฎที่เข้มงวดก็ทำให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง อาจจะเรียกได้ว่าเราแกร่งกว่าคนที่อยู่กับพ่อแม่จนโตด้วยซ้ำ

เรียนมัธยมที่โรงเรียนมงฟอร์ต เรียนแข่งกับคนตาดีๆ ได้อย่างไร

มัน เป็นความท้าทาย เมื่อ 20-30 ปีก่อน หนังสือเบรลล์ไม่ได้มีดาษดื่น ถ้าเราอยากมีไว้อ่านเราต้องคัดลอกเอง ก็ต้องไปซื้อหนังสือทั่วไปตามร้านหนังสือมา แล้วหาอาสาสมัครมาอ่านหนังสือให้ฟังแล้วจดช็อตโน้ตเอง เวลาส่งการบ้านก็จะใช้การพิมพ์ดีดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผมเลยพิมพ์ดีดแบบสัมผัสได้ตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ส่วนวิชาที่เป็นแบบเติมคำ เช่น คณิตศาสตร์ เราก็ต้องหาเพื่อนซี้ช่วยเติมให้ตามที่บอก หรือไม่ก็หาอาสาสมัครมาช่วยอ่านเวลาทำการบ้านทุกเย็น

ตอนได้ทุนไปเรียนต่ออเมริกา ไปคนเดียว

ครับ เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มันจะเป็นอะไรไป ก็แค่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลเท่านั้นเอง ตอนนั้นจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้วชิงทุนไปเรียนที่ เซนต์ โอลาฟ คอลเลจ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทุนแลกเปลี่ยนระหว่าง มช.กับมหาวิทยาลัยที่นั่น ไปเรียนปริญญาตรีอีกตัวหนึ่ง

การเรียนในเมืองไทยกับเมืองนอกต่างกันแค่ไหน

ถ้า จะเปรียบก็เหมือนกับที่เมืองไทยเราเอาควายไถนา แต่ของเขามีแทร็กเตอร์แล้ว คือเรียนหนังสือที่เมืองไทยเราต้องต่อสู้ดิ้นรน โดยที่ไม่มีการซัพพอร์ตจากรัฐ ใครเรียนไม่ไหวก็ต้องออกไป ฉะนั้นทุกคนต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ต้องยอมรับแรงเสียดทาน เพราะเราอยู่ท่ามกลางเด็กตาดี 2,000-3,000 คน ต้องยอมรับว่าการทำข้อสอบไม่ทันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าบางวิชาเป็นเรื่องท่องจำ ในเมื่อเรามีหนังสือน้อย เท็กซ์บุ๊กก็ไม่มี หนังสือเบรลล์ก็ไม่มี ฉะนั้นเมื่อเราอ่านน้อย คะแนนเราก็น้อย



แต่ พอไปถึงอเมริกา ทุกอย่างเป็นระบบที่รัฐจัดตั้งขึ้นมาแล้ว มีคนอ่านหนังสือให้ แต่ต้องนัดหมายก่อน ถ้ามีบทเรียน มีสื่อการเรียนการสอนที่ต้องการให้แปลงเป็นหนังสือเบรลล์ให้ ก็ต้องเอาไปส่งที่ศูนย์จัดการทางวิชาการ ไม่เคยจับคอมพิวเตอร์มาก่อน ทางมหาวิทยาลัยเปิดให้หัดใช้ หรือจะยืมหนังสือจากมหาวิทยาลัยของรัฐสภาอเมริกันที่วอชิงตันก็ทำได้ แต่ต้องวางแผนการยืมล่วงหน้า 6 เดือน ฉะนั้นเราก็ต้องไปคุยกับที่ปรึกษาว่า เทอมหน้าจะต้องใช้หนังสืออะไรบ้าง ที่ปรึกษาจะทำหนังสือส่งไปที่วอชิงตันให้เรายืมหนังสือได้ล่วงหน้า

ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ คือนอกจากเรียน ก็กินเหล้าเมายาด้วย

แน่ นอนครับ ผมเป็นคนที่เรียนด้วยเล่นด้วยตลอดอยู่แล้ว ชีวิตของผมกับการเรียนกับการกินเหล้าเมายาไม่เคยตัดออกจากกันได้เลย ก็เป็นนักดนตรีตามผับก็รู้อยู่แล้วว่านิสัยของนักดนตรีตามผับจะเรียบร้อย เหมือนกับผ้าพับไว้ มันไม่มี แต่ไม่ได้เล่นตามผับ จะรับเป็นจ๊อบๆ เฉพาะงานปาร์ตี้ที่เขาชวนเราไปเล่น เพราะต้องแอบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นงานภารโรงเสียมากกว่า งานที่คนอื่นเขาไม่ทำ เช็ดพื้นถูพื้น เช็ดหน้าต่าง งานแบบนั้นนักศึกษาเอเชียทำ

คือห้ามนักศึกษาทำงานมากเกินกว่ากี่ชั่วโมงๆ

ครับ เขาห้ามไม่ให้ทำงานเกิน 20 ชั่วโมง แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ รัฐบาลไทยน่าจะเอามาใช้เสียที คือเรามีทุนกู้เงินเพื่อการศึกษา แต่เราก็ปล่อยให้ทำงานไปเที่ยวไปกินไปอย่างเดียว พอจบมาไม่มีเงินใช้ แต่ที่นั่นเขามีเงินใช้หนี้ทุกเดือน งานอาจจะไม่ได้มีศักดิ์มีศรีมากมาย งานเป็นงานล้างจาน เป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ งานเป็น รปภ.ของมหาวิทยาลัย ผมว่างานพวกนี้ควรเอามาให้นักศึกษาทำงานให้หมด แทนที่จะใช้ลูกจ้างชั่วคราว เพราะคนที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวก็ไม่มีสวัสดิการ และมหาวิทยาลัยลงทุนไปตั้งเยอะแยะ ทำให้เขามีทักษะ พอถึงเวลาเขาก็ไป มหาวิทยาลัยไม่ได้อะไร

ได้ถวายการรับใช้สมเด็จพระเทพฯ

ใช่ ครับ เรียนจบมาก็มาเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปี 2545 ก็ลาออกมาทำงานเต็มเวลาให้กับองค์กรเอกชน คือเป็นเลขาธิการให้กับมูลนิธิคนตาบอดไทย และเป็นนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2547 แล้วก็ทำงานโครงการเดซี่ ซึ่งเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาตรฐานเปิด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นกรรมการมูลนิธิราชสุดาของสมเด็จพระเทพฯ

เคยเข้าเฝ้าฯ

บ่อย ครับ สมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงต่อคนพิการ ท่านทรงมีความเชื่อมั่นและให้โอกาสคนได้พิสูจน์ความสามารถ เช่นที่ผมผลักดันเรื่องหนังสือเดซี่ในฐานะที่เป็นหนังสือเพื่อทุกคน พระองค์ก็เข้าพระทัยเป็นอย่างดีและทรงให้การสนับสนุน จนกระทั่งเรามีโครงการผลิตหนังสือเดซี่ในคุกหญิงเป็นแห่งแรกของโลก ภายใต้โครงการไอทีตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ

อีกโครงการหนึ่ง ที่ดีวันดีคืน คือโครงการสนับสนุนให้นักเรียนตาบอดได้เรียนสายวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งแต่สมเด็จพระเทพฯ ทรงให้การสนับสนุนตั้งแต่ผมเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยที่มหิดลแล้ว มีการจัดสัมมนาเรื่องไอทีเพื่อคนพิการตั้งแต่ปี 2539

หลังจากนั้นเรา ก็มีการจัดค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับคนตาบอดตั้งแต่ปี 2548 จนกระทั่งเราสามารถเอานักเรียนตาบอดไปเรียนสายวิทย์ ม.4 ที่เซนต์คาเบรียลได้ตั้งแต่ปี 2549 และปีนี้นักเรียนคนตาบอด 2 คนนั่นก็ได้เป็นนักเรียนคนบอด 2 คนแรกในประเทศไทยที่ได้เรียนสายวิทยาศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เป็นการต่อสู้ยาวนานเป็นสิบๆ ปี การเอาชนะใจคณาจารย์สายวิทยาศาสตร์ในเมืองไทยเป็นการยากมาก วงการวิทยาศาสตร์เมืองไทยให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ "เชิงประจักษ์" มาก นักวิทยาศาสตร์เมืองไทยจึงเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีน้อยมาก คือทดลองเพื่อจะได้เห็นผลการทดลองที่คนอื่นทำไว้แล้ว จึงเป็นอุปสรรคที่คนตาบอดไม่สามารถเข้าเรียนสายวิทย์ในเมืองไทยได้ตลอดมา แต่ด้วยพระวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระเทพฯ และพวกเราก็ช่วยกันผลักดันมาตลอด ขณะนี้เราสามารถดันนักเรียนตาบอดของเราเข้าสู่ computer science ได้เป็นเบื้องต้น และเราก็ต้องดันกันต่อ

เร็วๆ นี้ก็เพิ่งมีการประชุมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เรื่องไอทีเพื่อคนพิการที่เมืองไทย

ครับ เมื่อวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางสหภาพโทรคมนาคมสากล ร่วมกับ กทช.ของไทยจัดการประชุมว่าด้วยเรื่องไอทีเพื่อคนพิการ แนะนำคู่มือที่นำเอาหลักการ ข้อกำหนดทั้งจากเอกสารที่เป็นการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยการประชุม สารสนเทศที่ผนวกรวมกับเอาเรื่องคนพิการไว้ในนั้นด้วย และเอกสารในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ มาเขียนในลักษณะของคู่มือ ในลักษณะการขยายผลที่เป็นรูปธรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ ทำยังไงให้คนพิการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้อย่างเท่าเทียมทั่วถึงและเป็นธรรมให้ได้

ไอทีเพื่อคนพิการบ้านเราเป็นอย่างไร

มันเกิดจาก วิธีคิดแบบเวทนานิยม คือคนพิการเป็นผู้รับการสงเคราะห์ คือผู้รับการดูแล ซึ่งวิธีคิดที่จะทำให้คนพิการสามารถพึ่งตนเองได้และสามารถเป็นที่พึ่งของคน อื่นได้ด้วย มันไม่อยู่ในระบบคิดแบบเวทนานิยม

ตั้งแต่ พ.ศ.2550 เป็นต้นมา เรามี พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เรามีรัฐธรรมนูญใน หมวด "สิทธิ" และเราก็ให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าในเรื่องของข้อกฎหมาย คนพิการเรากำลังก้าวไปอยู่สู่สังคมฐานสิทธิ

เรากำลังก้าวข้ามจากฝั่ง เวทนานิยมไปสู่สังคมฐานสิทธิ แต่เรายังอยู่บนสะพาน ซึ่งสะพานนั้นอาจจะหักลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราเห็นฝั่งของสังคมฐานสิทธิอยู่รำไรแล้ว

ที่น่าน้อยใจและผมก็พูดอยู่เสมอในสภา คือ เมืองไทยอะไรก็ดี กฎหมายไม่เป็นรองใคร แต่งบประมาณ ก็ยังกระจอกเหมือนเดิม

สัดส่วนการจัดสรรเงินเพื่อคนพิการยังคิดเป็น 0.25 ของงบประมาณแผ่นดิน


หน้า 17

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun01300852&sectionid=0140&day=2009-08-30

วันที่ 19-20 กันยายน พ.ศ. 2552 นี้ ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพค เมืองทองธานี



 

วันอาทิตย์ ที่ 30 สิงหาคม 2552
60 ปี แห่งการสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ประชาชนชาวไทย-จีน ร่วมเฉลิมฉลองด้วยไมตรี
Posted by อะหนึ่ง , ผู้อ่าน : 29 , 09:34:51 น.  
หมวด : นักข่าวอาสา

พิมพ์หน้านี้


   นับถอยหลังถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) ซึ่งเป็นวันชาติจีน (National Day of China) ประเทศจีนจะดึงดูดสายตาชาวโลกอีกครั้ง ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยงานแสดงรื่นเริงทางวัฒนธรรม การสวนสนามของกองทับประชาชนจีน และการแสดงแสนยานุภาพของอาวุธล้ำสมัย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน

การสวนสนามของกองทัพจีน ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำกันทุกปี
ในวันชาติจีน 1 ตุลาคม เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางการทหารของจีน

สายสัมพันธ์ไทย-จีน

   รอยแตกลาย บน “เครื่องสังคโลก” เป็นวัตถุบันทึก ถึงสายสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมมายาวนาน นับแต่อาณาจักรสุโขทัย จนถึงอาณาจักรอยุธยา เมื่อพระมหากษัตริย์ไทยได้ส่งคณะทูตนำเครื่อง “บรรณาการ” หรือ “จิ้มก้อง” (Tribute) ไปถวายจักรพรรดิในราชวงศ์ต่างๆของอาณาจักรจีนโบราณ และมีการแลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรี เดินทางค้าขายติดต่อกันสืบมา

ชาวจีนได้ถ่ายทอดศิลปะการทำเครื่องปั้นดินเผา “เครื่องสังคโลก” สินค้าส่งออกที่สำคัญสมัยสุโขทัย

ย้อนอดีตชาวจีนย่านมังกร ภาพจาก ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรวิทยาราม

   ในสมัยกรุงธนบุรี ต่อเนื่องถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 3 ทรงแต่งเรือสำเภาหลวงนำสินค้าไปเปิดการค้ากับจีน ส่งผลให้ “การค้าสำเภา” (Junk Trade) มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ทำให้สยามมีเงินไว้ใช้ในยามสงคราม
อีกทั้งชาวจีนก็ได้อพยพหลบหนีความอด อยากแร้นแค้น และความระส่ำระสายจากสงครามกลางเมืองภายในประเทศ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งรกรากถิ่นฐาน ประกอบอาชีพอยู่ในสยามเป็นจำนวนมาก จนเกิดชุมชนชาวจีนขึ้นมากมายทั่วประเทศไทย และได้ผสมผสานวัฒนธรรมกลายเป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” มาจนถึงปัจจุบัน

พระเจดีย์รูปเรือสำเภา วัดยานนาวา รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เป็นบันทึกถึงยุคทองของการค้าสำเภา ระหว่างไทยกับจีน

ย้อนอดีตชาวจีนย่านมังกร ภาพจาก ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรวิทยาราม

   ทางด้านการค้ากับประเทศจีน ภาคเอกชนนำโดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนรุ่นบุกเบิก ที่อพยพเข้ามาประกอบธุรกิจการค้าอยู่ในประเทศสยามจนประสบความสำเร็จ ได้รวมตัวกันก่อตั้ง “หอการค้าไทย-จีน” ขึ้น ในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ.1910) ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งตรงกับปลายสมัยราชวงศ์ชิง ของจีน

ทั้ง นี้เพื่อให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล สร้างความรักสามัคคี ในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเลด้วยกัน และขยาย(อำนาจ)ธุรกิจการค้าของไทยไปสู่ทั่วโลก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยมาทุกยุคสมัย จนหอการค้าไทย-จีนในปัจจุบัน นับเป็นหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นหัวใจสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย

ภาพถ่ายประธานหอการค้าไทย-จีน จากอดีต ถึงคนปัจจุบันคือ นายสุธี มีนชัยนันท์

ตึกเก่าสะท้อนเวลาตึกสูงใหญ่ บนถนนสาทร หอการค้าไทย-จีน จะครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2553

   ภายหลังราชวงศ์จีนล่มสลาย ด้วยสงครามกลางเมือง และประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง สายสัมพันธ์ทางการทูตในระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้หยุดชะงักลงไป ด้วยเหตุผลทางการเมือง และอิทธิพลของจักรวรรดินิยมนักล่าอาณานิคมตะวันตก แต่สายสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมของคนไทย คนจีน ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ราชอาณาจักรไทย และ สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เดินทางไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับ โจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งนับเป็นปีที่ 34 ในปี 2552 นี้

ประวัติศาสตร์จีนใหม่

   หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) สงครามกลางเมือง (Chinese Civil War) ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับพรรคก๊กหมินตั๋ง ก็สิ้นสุดตาม โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนพรรคก๊กหมินตั๋ง ได้เข้าปกครองหมู่เกาะไต้หวัน

ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) เหมาเจ๋อตุง ได้ประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) ขึ้น ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน และปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ด้วยความเข้มงวดกวดขันเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งชีวิตประจำวันของประชาชน

หลัง จากเหมาเจ๋อตุง ถึงแก่อสัญกรรม เติ้งเสี่ยวผิง ก็ได้ขึ้นสู่อำนาจต่อมา ภายหลังรัฐบาลจีนจึงได้ค่อยๆ ลดการควบคุมชีวิตส่วนตัวของประชาชน และพยายามที่จะปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปตามกลไกของตลาดแบบสากล

ครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน

   ตลอดช่วงระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ผู้นำจีนยุคใหม่ได้มีนโยบายในการพัฒนาประเทศทุกๆด้าน ทั้งทางด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม การเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการเปิดประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจการค้าโลก
ผลแห่งการเปลี่ยนแปลง พัฒนา ทั้งจากรัฐบาลกลาง ภาคธุรกิจ และประชาชน จนทำให้ประเทศจีนประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม และวัฒนธรรม จนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ว่าประเทศจีนเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเอเชีย และนับเป็นอันดับสองของโลก

   เริ่มจากต้นปี มีข่าวของประเทศจีนได้เตรียมความพร้อม และมีการจัดกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง ในวาระครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนาฯ อาทิ การสวนสนามทางทะเล เพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทับเรือจีน และเรือรบจากนานาชาติที่ส่งเข้าร่วม การสร้างภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ 60 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน โดย จางอี้โหม่ว ผู้กำกับชื่อดัง เป็นต้น

การแสดงแสนยานุภาพทางทะเล ในงานครบรอบ 60 ปี วันสถาปนากองทัพเรือจีน (23 เม.ย. 52)

ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ 60 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน โดย จางอี้โหม่ว ผู้กำชื่อดัง
จากผู้ที่มีความคิดไม่ลงรอยกับรัฐบาล มาเป็นศิลปินขวัญใจรัฐบาลจีน

ข่าวการซ้อมแสดงแสนยานุภาพทางทหาร ก่อนถึงวันสวนสนามจริง 1 ต.ค.

60 ปี แห่งการสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประชาชนชาวไทย และ ชาวไทยเชื้อสายจีน
ร่วมเฉลิมฉลองด้วยไมตรี ในนามประเทศไทย

คณะกรรมการ หอการค้าไทย-จีน ประชุมเตรียมงาน

   หอการค้าไทย-จีน , สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย

ร่วม กันจัดงานเฉลิมฉลอง 60 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ขึ้นในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน พ.ศ. 2552 นี้ ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพค เมืองทองธานี

   โดยในคืนวันที่ 19 กันยายน ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จะเป็นงาน เลี้ยง (Gala Dinner) โดยแขกรับเชิญจากภาครัฐบาลไทย รัฐบาลจีน ทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย นักธุรกิจชาวไทยและต่างประเทศ รวมทั้งชาวไทย-ไทยเชื้อสายจีน

(เป็นภาพตัวอย่าง การแสดงวัฒนธรรมร่วมสมัยของจีน)

   ส่วนคืนวันที่ 20 กันยายน ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จะเป็นการแสดง (Concert) ไทย-จีนสัมพันธ์ การแสดงวัฒนธรรมจีนร่วมสมัย โดยคณะนักแสดงและนักร้องระดับ Superstar ของจีน ซึ่งส่งตรงมาจากกรุงปักกิ่ง บนเวทีที่ยิ่งใหญ่ แสงสีเสียงตระการตา และเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรี ! (*ต้องมีบัตรเชิญล่วงหน้า)

(เป็นภาพตัวอย่าง การแสดงวัฒนธรรมร่วมสมัยของจีน)

   ทั้งนี้เพื่อรวมคนไทยเชื้อสายจีน ที่มาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ได้ร่วมกันแสดงออกถึงจิตสำนึก ความรัก ความผูกพัน อันมีต่อประเทศมาตุภูมิจีน แผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ
และเพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้มีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลอง ร่วมส่งคำอวยพรด้วยไมตรีจิตยินดี ต่อมิตรประชาชนชาวจีน

อัน เป็นการแสดงออกถึงสัมพันธภาพอันดีที่มีมายาวนาน และสร้างสานสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจการค้า ระหว่างประเทศไทย และประเทศจีนให้เจริญยั่งยืนสืบไป...

(อะหนึ่ง รายงานจาก หอการค้าไทย-จีน)

อนึ่ง... สำหรับชาวโอเค เนชั่น ที่สนใจชมคอนเสิร์ต ในคืนวันที่ 20 กันยายน 2552 (เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป) ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพค เมืองทองธานี
อะหนึ่ง มีบัตรเข้าชมงานมอบให้ โปรดแจ้งไว้ในคอมเม้นท์ นะครับ (*ได้โควต้ามาจำนวนจำกัดเพียง 15 ใบ)

..............................................................................

*ขอบคุณ : เจ้าของบทความก่อนหน้าที่ผู้เขียนอ้างอิงมาเรียบเรียง / เจ้าของภาพประกอบจากเว็บไทย และจีน
Description : เพลงชาติจีน Chinese National Anthem (อนุเคราะห์คลิปโดย BG เฟิงสุ่ย)


 
 
 
 


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คุณเก็บตารางนัดหมายที่ใด !! ลองมาดู Google Calendar และการเชื่อมโยงกับมือถือของคุณ



 

วันศุกร์ ที่ 10 กรกฎาคม 2552
คุณเก็บตารางนัดหมายที่ใด !! ลองมาดู Google Calendar และการเชื่อมโยงกับมือถือของคุณ
Posted by สภากาแฟ , ผู้อ่าน : 308 , 17:58:56 น.  
หมวด :
วิทยาศาสตร์/ไอที

พิมพ์หน้านี้


เมื่อวานนี้ได้ไปคุยกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ประกอบการ SME พอดีไปคุยกันเรื่อง Calendar หรือตารางนัดหมายที่ใช้ๆกันในปัจจุบัน ผมถามเพื่อนๆว่าวันนี้ทำอย่างไร

  • บางคนโชคดีหน่อยทุกอย่างให้เลขาส่วนตัวทำหมด เวลาใครจะนัดหมายก็ให้ติดต่อเลขาแทน ผมถามเขาต่อว่าถ้าเป็นนัดหมายส่วนตัว หรือเลขาไม่อยู่ทำอย่างไร เพื่อนก็ตอบว่า ก็ต้องรอละ แล้วถ้าลืมละใครมาเตือนก็คงตอบไม่ได้
  • อีกรายดูดีหน่อย เขาเก็บทุกอย่างลงในเครื่อง Notebookของเขา ผมถามว่าแล้วถ้าไม่ได้พก Notebook อยู่แล้วคนโทรมานัดหมายทำอย่างไร เขาก็บอกว่าต้องกลับไป check ดูละ แล้วถ้าแต่ละวันมีหลายนัดทำอย่างไรถ้าไม่ได้เปิด Notebook ตลอด เขาก็บอกว่าก็ต้องจำเอาหรือจดไว้
  • คนสุดท้ายเก็บนัดหมายไว้ในโทรศัพท์ ก็ดูดีหน่อยพกติดตัวตลอด ผมถามเขาว่าแล้วนัดหมายเก่าๆทำอย่างไร พอดีเขาไม่ทราบว่า Sync กับ Notebook ได้ก็เลยแนะนำเขา แต่ก็มีปัญหาละเพราะต้องมั่นทำการ Sync กันบ่อยๆ และอีกอย่างถ้าเครื่องมือถือพังมาหรือหายไปคงวุ่น ถ้าไม่ได้ Sync ข้อมูลไว้ แต่ข้อสำคัญก็ต้อง Sync กับโปรแกรม Outlook หรือโปรแกรมนัดหมานที่อาจต้องเสียค่าลิขสิทธิ์นะครับ

ผมก็เลยบอกว่า ผมเก็บนัดหมายไว้ใน Google Calendar ข้อดีก็คือผมไม่ต้องหยุดติดกับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง User Interface ก็เหมือนกับ โปรแกรมบน Desktop เราสามารถกำหนดการนัดหมายแล้วลากเคลื่อนที่ปรับเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นผมสามารถจะดูการนัดหมายผมผ่าน Web Browser เครื่องไหนก็ได้ สำหรับเครื่อง Notebook ตัวเองผมติด โปรแกรม Plugin ของ Mozilla Thunderbird ทำให้ผมสามารถดูการนัดหมายโดยไม่ต้องใช้ Web Browser และถ้ามีนัดหมายใดทาง E-mail ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้



เพื่อนๆที่มีมือถืออาจแย้งว่าใช้นัดหมายบนมือถือดีกว่า ผมก็บอกเลยว่า Google Calendar ผมนี่มัน Sync อยู่กับโปรแกรมนัดหมายบนมือถือ โดยผมเลือกใช้บรืการที่ติดตั้งที่เว็บไซต์ www.goosync.com ผมสามารถที่จะ sync กับมือถือได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน Internet หรือ GPRS ครับ ดังนั้นถ้าผมเล่นอยู่ในที่ๆมี Wifi ผมก็ Sync ผ่าน wifi ครับเพราะมื่อถือผมใช้ได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณ wifi ก็ sync ผ่านGPRS ของโอเปร์เรเตอร์ละครับ

บริการ Goosync ที่เป็น Basic คือ sync ได้หนึ่งเดือนใช้ฟรัครับ และก็สนับสนุนมือถือทุกรุ่นตั้งแต่ Nokia ไปจนถึง iPhone อย่างของผมใช้รุ่นNokia E71 ก็มีครับ แต่บังเอิญผมต้องเก็บนัดหมายล่วงหน้ามากเป็นเวลาหลายเดือนเลยเลือกใช้บริการแบบเสียเงินครับ ถึงตอนนี้ผมต้องบอกว่าการเก็บตารางนัดหมายของผมเป็นแบบ Ubiquitous คือทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ จะดูผ่านเน็ตเครื่องใดก็ได้ หรือจะเลือกใช้โปรแกรม Notebook ส่วนตัว หรือจะดูผ่านมือถือ ข้อมูลตัวเดียวกันหมดครับ ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะหายไป


ผมว่าลองเข้าไดูซิครับ ท้ง Google Calendar, Goosync, และ Mozilla Thunderbird แต่ถ้ายังกังวลว่าเก็บตารางนัดหมายในGoogle ไม่ปลอดภัย กลัวข้อมูลหาย (!!!) ก็ยัง sync เข้ากับโปรแกรมนัดหมายใน Desktop ได้ ถ้าอยากจะเสียเงินซื้อ
http://www.oknation.net/blog/thananum/2009/07/10/entry-1


 

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

IBM Invitation : IBM Power Solutions Forum 2009 on September 2, 2009 at InterContinental Hotel

 
จาก: <cmktsasi@th.ibm.com>
วันที่: สิงหาคม 24, 2009 5:32 หลังเที่ยง
หัวเรื่อง: IBM Invitation : IBM Power Solutions Forum 2009 on September 2, 2009 at InterContinental Hotel
ถึง: 



เรียน ลูกค้าผู้ทรงเกียรติทุกท่าน

ไอบีเอ็มขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา IBM Power Solutions Forum 2009 วันที่ 2 กันยายน ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล
งานสัมมนาของ Power Systems ครั้งใหญ่ที่สุดที่รวบรวมพันธมิตรคู่ค้า เพื่อนำเสนอโซลูชันหลากหลายสำหรับธุรกิจของคุณ

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้!
150 ท่านแรกที่ลงทะเบียนและเข้าร่วมงานสัมมนา รับของที่ระลึกจากไอบีเอ็ม

TOP  
If the page could not preview correctly, please clik here




Thank you and Warm Regards,


IBM Event Management
IBM Thailand Co., Ltd.
388 Phaholyothin Road, Samsen Nai
Phayathai, Bangkok 10400

:66-2-273-4777
  : 66-2-273-0188, 662-273-0683
 : ibmmkt@th.ibm.com


 



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://ilaw.or.th
http://www.pnac-th.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.oknation.net/blog/aumpradya
http://www.oknation.net/blog/pacm/2009
http://www.oknation.net/blog/summer
http://www.thaibreastfeeding.org



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://ilaw.or.th
http://www.pnac-th.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.oknation.net/blog/aumpradya
http://www.oknation.net/blog/pacm/2009
http://www.oknation.net/blog/summer
http://www.thaibreastfeeding.org

คลังบทความของบล็อก

ผู้ติดตาม